จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ค่าวก้อม

เติงตอนมาแล้ว ขอแจวจากจ๋ร
อยากกิ๋นเข้าตอน ออนจรบ่หน้อย
ใค่กิ๋นลาบปล๋า หลู้ส้าปล๋าก้อย
ต๋ามหมูฮิมดอย แง่มนี้ 
เจ้าหมู่เขาจ๋า ว่าอย่าเซ้าซี้
กิ๋นต๋ำหมู่นี้ เอาเอย
กิ๋นก้วยเตี๋ยวเตอะ
เปื่อเลอะ อ้ายเหย
เอาเลยต๋ามเลย กิ๋นก้วยเตี๋ยวแห้งๆ
https://www.gotoknow.org/posts/190287

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นิทานพื้นบ้าน กิ่งไม้หนึ่งกำมือ

กิ่งไม้หนึ่งกำมือ

twigs
วันหนึ่งมีชายชราอยู่ผู้หนึ่งซึ่งกำลังป่วยหนักและใกล้ตาย เขาได้เรียกลูกชายทุกคนเข้ามาหาโดยพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วให้คนรับใช้ไปหากิ่งไม้มาหนึ่งกำมือ เขายื่นกิ่งไม้ในมือให้ลูกชายคนโตแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไหนเจ้าลองหักกิ่งไม้ให้พ่อดูหน่อยซิ”
ลูกชายก็พยายามหักกิ่งไม้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่แต่ก็ไม่สามารถหักได้ จากนั้นชายชราก็ให้บรรดาลูกๆ ผลัดกันลองหักกิ่งไม้ทีละคนๆ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จสักคน เมื่อเป็นเช่นนี้ชายชราจึงแยกกิ่งไม้ออกมาแล้วส่งให้ลูกชายคนละกิ่ง และเอ่ยขึ้นว่า “คราวนี้พวกเจ้าลองหักกิ่งไม้ดูอีกทีซิ”
ลูกชายทุกคนต่างทำตามที่พ่อสั่ง และคราวนี้ทุกคนก็ต่างสามารถหักกิ่งไม้ได้ ชายชราจึงเอ่ยกับลูกๆ ว่า “พวกเจ้าก็เปรียบเสมือนกับกิ่งไม้มัดนี้ หากรักใคร่ปรองดองกันก็จะไม่มีใครทำอะไรพวกเจ้าได้ แต่หากเมื่อใดที่แตกความสามัคคีกัน พวกเจ้าก็จะถูกทำร้ายได้ง่ายเหมือนกิ่งไม้เหล่านี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความสามัคคีเป็นพลังอันยิ่งใหญ่

นิทานพื้นบ้าน กากับหงส์

กากับหงส์

zpage035
ณ ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ มันเห็นหงส์ท่าทางสง่างามกำลังแช่น้ำอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ จึงคิดว่าถ้ามันลงไปแช่น้ำนานๆ เช่นหงส์นี้ ขนสีดำของมันก็คงจะต้องกลายเป็นขนสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับหงส์อย่างแน่นอน มันจึงบินลงไปแช่ตัวอยู่ในทะเลสาบเช่นเดียวกับหงส์ และกล่าวกับตนเองว่า “ขนสีดำน่าเกลียดของข้าจะต้องกลายเป็นขนสีขาวสวยงามสะอาดในไม่ช้าเป็นแน่”
แล้วมันก็แช่น้ำอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ยอมบินไปหาอาหารเลย พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาคอยดูว่าขนของมันนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหรือยัง ในที่สุดมันก็อดอาหารจนตายอยู่ในทะเลสาบนั้นโดยที่ขนของมันก็ยังคงมีสีดำอยู่เช่นเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความทะเยอทะยานเกินตัวจะนำมาซึ่งความหายนะ

นิทานพื้นบ้าน กระต่ายกับเต่า

กระต่ายกับเต่า

5rabbit-n-turtle-300x218.gif
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กระต่ายตัวหนึ่งมักชอบโอ้อวดว่าตนเป็นผู้ที่วิ่งได้เร็วที่สุด อยู่มาวันหนึ่งกระต่ายเห็นเต่ากำลังคลานต้วมเตี้ยมอย่างช้าๆ กระต่ายจึงหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ นี่เจ้าเต่า ถ้าเจ้าเดินช้าอย่างนี้ แล้วเมื่อไรจะกลับถึงบ้านล่ะนี่”
เต่าจึงตอบกลับไปในทันทีว่า “ถึงข้าจะเดินช้า แต่ข้าก็กลับถึงบ้านทุกวัน เรามาลองวิ่งแข่งกันมั้ยล่ะ แล้วข้าจะเอาชนะเจ้าให้ดู”
กระต่ายนั้นมั่นใจว่าเต่าไม่มีทางเอาชนะตนได้เป็นแน่จึงรับคำท้า วันรุ่งขึ้นสัตว์ต่างๆ ก็พร้อมใจพากันมาดูการวิ่งแข่งขันระหว่างกระต่ายกับเต่า เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น กระต่ายวิ่งอย่างสุดฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย ส่วนเต่าก็พยายามคลานไปเรื่อยๆ
ในขณะที่กระต่ายวิ่งไปจนใกล้จะถึงเส้นชัยแล้วก็คิดว่าถึงอย่างไรเสียตนก็ต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน กระต่ายจึงนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้และเผลอหลับไป ส่วนเต่าก็คลานต้วมเตี้ยมจนมาถึงเส้นชัย กระต่ายเมื่อตื่นขึ้นมาก็มองซ้ายมองขวาแล้วรีบวิ่งไปยังเส้นชัยด้วยความเร็ว แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะสัตว์ป่าทั้งหลายกำลังแสดงความยินดีกับเต่าที่เป็นผู้ชนะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

นิทานพื้นบ้าน กบทั้งสองกับบ่อน้ำ

กบทั้งสองกับบ่อน้ำ

502ed84b4a0e82687e4cdb7993bf0e06
ครั้งหนึ่งมีกบอยู่สองตัวอาศัยอยู่ที่หนองน้ำตื้นๆ ซึ่งพอจะเป็นที่หลบซ่อนตัวจากสัตว์อื่นๆ ได้ แต่เมื่อฤดูร้อนมาถึงหนองน้ำแห่งนี้ก็เริ่มตื้นเขินขึ้นและแห้งขอดไปในที่สุด กบทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะออกไปหาที่อยู่ใหม่ พวกมันออกเดินทางเข้าไปในป่าจนกระทั่งได้พบกับบ่อน้ำบ่อหนึ่งซึ่งลึกมาก ทั้งสองพากันกระโดดไปที่ขอบบ่อน้ำนั้น และเมื่อมองลงไปยังด้านล่างของบ่อก็พบว่ามีน้ำขังอยู่ที่ก้นบ่อ
กบตัวแรกจึงเอ่ยขึ้นว่า “บ่อน้ำบ่อนี้ลึกมากจริงๆ ถ้าเราย้ายมาอยู่ที่นี่คงไม่มีใครมาทำร้ายพวกเราได้เป็นแน่ เราใช้บ่อน้ำนี้เป็นบ้านหลังใหม่กันเลยดีกว่า” กบอีกตัวได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ในบ่อน้ำมีน้ำอยู่ก็จริง แต่หากวันข้างหน้าน้ำในบ่อเกิดแห้งขอดไปล่ะ เราจะออกจากบ่อน้ำนี้ได้อย่างไรกัน เจ้ากับข้าก็คงต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ ข้าว่าพวกเราไปหาที่อยู่ใหม่กันดีกว่านะ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบจะทำให้เราคาดเดาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

นิทานพื้นบ้าน กบกับพระอาทิตย์

กบกับพระอาทิตย์

cartoon_frog_sitting_on_a_lily_pad_in_a_pond_under_the_sun_0515-1101-1912-0429_SMU
ในวันหนึ่งพระอาทิตย์ได้ประกาศให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายรู้ว่ากำลังจะแต่งงาน บรรดากบได้ยินดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก และต่างพากันขึ้นมาจากหนองน้ำ พร้อมกับส่งเสียงคัดค้านการแต่งงานของพระอาทิตย์จนดังระงมไปทั่วทั้งป่า สัตว์ป่าต่างๆ ก็พากันออกมาดูพวกกบด้วยความรำคาญ และในฐานะเจ้าป่าสิงโตจึงเอ่ยถามบรรดากบว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงต้องคัดค้านเรื่องที่พระอาทิตย์จะแต่งงานด้วยเล่า ไม่เห็นเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้าเลยสักนิด”
กบชราตัวหนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ทำไมถึงจะไม่เกี่ยวกับพวกข้าล่ะ มันเกี่ยวยิ่งกว่าเกี่ยวเสียอีก มันเกี่ยวข้องกับพวกข้าทุกอย่าง เพราะขนาดมีพระอาทิตย์เพียงดวงเดียวนี้ยังทำให้น้ำในหนองของพวกข้าแห่งผากถึงเพียงนี้ หากมีพระอาทิตย์อีกดวงปรากฏขึ้นพร้อมกันถึงสองดวงล่ะก็ พวกข้าคงต้องตายกันหมดเป็นแน่”

ประวัติ พระธาตุดอยตุง

เปิดตำนาน “พระธาตุดอยตุง” 17 ธันวาคม 2559 5282 ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ที่บริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขาหลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของอารยชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกนี้มีหัวหน้าชื่อปู่เจ้าลาวจก มีเมียชื่อ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ยอดเขาลูกหนึ่งทรงมะนาวตัดและทำนายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นำพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ ซึ่งต่อไปภายหน้าจะเป็นบ้านเป็นเมือง มีกษัตริย์ค้ำชูพุทธศาสนาตราบชั่ว 5,000 พระวัสสา ทิวเขาที่ทอดยาวทางด้านทิศตะวันตกของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเป็นพรมแดนธรรมชาติที่กั้นระหว่างประเทศไทยกับพม่า มีชื่อเรียกว่าทิวเขาแดนลาว หรือเทือกเขาดอยตุง บริเวณพื้นที่นี้มีกลุ่มดอยสลับซับซ้อน เป็นแหล่งชุมชนโบราณที่ปรากฏเรื่องราวในตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ทิวเขากลุ่มหนึ่งที่ทอดตัวเรียงเป็นรูปสามเส้า ดอยทางทิศใต้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุซึ่งเป็นที่เคารพนับถือและเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นปฐมธาตุเจดีย์แห่งล้านนาที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1454 โดยพระเจ้าอุชุตราชแห่งนครโยนกนาคพันธุ์ นั่นคือ พระมหาชินธาตุเจ้าบนดอยตุง ด้วยความเชื่อที่ว่าภายใต้พระมหาสถูปทั้งสององค์ของพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุงเป็นที่ประดิษฐานพระรากขวัญเบื้องซ้ายและพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น ๆ ปรากฏเป็นความเชื่อสืบทอดบันทึกไว้ในเอกสารตำนานที่กล่าวอ้างถึงการนำพระบรมสารีริกธาตุมาสู่ดอยตุงและการสถาปนาพระมหาสถูประบุศักราชในตำนานไกลโพ้นถึงยุคพุทธกาล เน้นย้ำความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผูกพันตำนานกับความเชื่อเลื่อมใสที่ยาวนานมา ตำนานเกี่ยวกับพระธาตุดอยตุงปรากฏอยู่ในตำนานพื้นเมืองของล้านนาเป็นความเชื่อปรัมปราของจารีตการสืบทอดประวัติความเป็นมาแห่งดินแดนที่แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมสลายและความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรชุมชนในบริเวณอันกว้างใหญ่ของลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่เกี่ยวเนื่องกับอิทธิพลของพุทธศาสนาที่แพร่ขยายเข้าสู่ดินแดนบริเวณนี้ ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ที่บริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขาหลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของอารยชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกนี้มีหัวหน้าชื่อปู่เจ้าลาวจก มีเมียชื่อ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ยอดเขาลูกหนึ่งทรงมะนาวตัดและทำนายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นำพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ ซึ่งต่อไปภายหน้าจะเป็นบ้านเป็นเมือง มีกษัตริย์ค้ำชูพุทธศาสนาตราบชั่ว 5,000 พระวัสสา เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานพระมหากัสสปนำพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้ายและพระธาตุอื่น ๆ มาไว้ พระธาตุได้ชำแรกลึกลงไปในหิน พระมหากัสสปได้ทำตุง คันหนึ่งใหญ่ยาวมาก ว่ากันว่า ร่มเงาของตุงนั้นทาบไปถึงเมืองเชียงแสนซึ่งขณะนั้นมีกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองอยู่แล้ว เป็นวงศ์ของสิงหนวติกุมาร ซึ่งได้อพยพมาจากตอนเหนือมาตั้งบ้านเรือนอยู่ จึงให้ปู่เจ้าลาวจกพร้อมเมียและบริวาร 500 เป็นผู้ดูแลพระธาตุ อย่างไรก็ตามพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของกรมศิลปากรได้กล่าวถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุ ซึ่งได้มีการตรวจสอบจากตำนานพระธาตุดอยตุงเมืองเชียงแสนฉบับของกรมศิลปากรและตำนานสิงหนวติปรากฏว่า ไม่ได้มีการระบุว่าเจดีย์องค์ใดเป็นพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้ายหรือพระธาตุส่วนอื่น ๆ นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงการนำพระธาตุมา 2 ครั้งคือครั้งแรกมีพระรากขวัญเบื้องซ้ายมาด้วยส่วนครั้งที่สองมีการนำพระธาตุมาหลายองค์ เมิ่อนำมาแล้วได้อัญเชิญขึ้นมาตั้งไว้บนก้อนหิน พระธาตุที่นำมาครั้งแรกทำอภินิหารจมลงในดินลึก 8 ศอก ส่วนครั้งที่สองจมลงในดินลึก 7 ศอก ด้วยเหตุนี้การจะระบุว่าเจดีย์องค์ใดเป็นที่สถาปนาพระธาตุจึงเป็นคำอธิบายของคนสมัยหลัง ซึ่งไม่ตรงกับความเชื่อในตำนาน มีการเปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่างพระธาตุดอยตุงกับพระธาตุดอยสุเทพในรูปทรงที่เห็นปัจจุบัน มีหลักฐานบ่งชี้ในตำนานพระธาตุดอยสุเทพชัดเจนว่าเป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2068 ซึ่งตรงกับสมัยพระเกศเกล้าครองเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทำองค์ระฆัง บัลลังก์และมาลัยลูกแก้วเป็น 12 เหลี่ยม ลักษณะพระธาตุดอยตุงองค์เดิมมีการทำเป็นเหลี่ยมเช่นกันแต่มี 8 เหลี่ยม การนิยมทำส่วนต่าง ๆ ดังกล่าวให้เป็นเหลี่ยมนี้ ไม่ปรากฏว่ามีที่ใดเก่าไปกว่าของพระธาตุดอยสุเทพ ดังนั้นได้มีการตรวจสอบกับตำนานพระธาตุดอยตุง เมืองเชียงแสนฉบับหอสมุดแห่งชาติว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำนุบำรุงพระธาตุ ในสมัยตั้งแต่ พ.ศ.2068 หรือไม่ ปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2129 กษัตริย์เชียงใหม่ผู้เป็นเชื้อสายของบุเรงนองได้มาทำนุบำรุงพระธาตุองค์นี้ พระธาตุดอยตุง ชำรุดทรุดโทรมผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน กระทั่งปี พ.ศ.2470 ครูบาศรีวิชัยได้มาทำการบูรณะพระธาตุดอยตุง โดยการฉาบปูนใหม่แต่ยังรักษาทรวดทรงของเดิมของเก่า ที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพุทธศาสนิกชนยังคงเดินทางขึ้นไปนมัสการองค์ปฐมพระบรมธาตุแห่งล้านนากันอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากพระธาตุดอยตุง เป็นเสมือนเสาหลักที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวไทยใหญ่จากพม่ารวมถึงชาวลาวจากหลวงพระบางและเวียงจันทน์ สังเกตได้จากในช่วงเทศกาลนมัสการพระธาตุดอยตุงมีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมานมัสการองค์พระธาตุดอยตุงแห่งนี้อยู่อย่างไม่ขาดสาย

ค่าวก้อม

เติงตอนมาแล้ว ขอแจวจากจ๋ร อยากกิ๋นเข้าตอน ออนจรบ่หน้อย ใค่กิ๋นลาบปล๋า หลู้ส้าปล๋าก้อย ต๋ามหมูฮิมดอย แง่มนี้   เจ้าหมู่เขาจ๋า ว่าอย่...